วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

ระบบนิเวศแบบพืชทะเลทราย

ระบบนิเวศแบบทะเลทราย
         
 ทะเลทรายครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 18% ของพื้นที่โลก อยู่ในบริเวณเส้นรุ้ง ที่ 10 องศาเหนือและใต้ มีปริมาณน้ำฝนน้อยกว่า 10 นิ้วต่อปี มีอัตราการระเหยของน้ำสูงกว่าปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา 5-7 เท่า อุณหภูมิในช่วงกลางวันและกลางคืนแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด บางส่วนของทะเลทรายจะถูกน้ำกัดเซาะเป็นแอ่งทำให้สามารถรองรับน้ำฝนไว้ให้สัตว์ทะเลทรายใช้ได้ ปัจจัยจำกัด ที่สำคัญของทะเลทรายคือ น้ำ ส่วนแร่ธาตุต่างๆ ในดิน ความเค็มและสารอินทรีย์บางชนิดอาจเป็นปัจจัยจำกัดได้บ้าง สภาพแวดล้อมไม่เหมาะกับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต จึงพบจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิต จึงพบจำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิตค่อนข้างน้อย สิ่งมีชีวิตในทะเลทรายจะต้องปรับตัวทางโครงสร้าง ทางสรีระและพฤติกรรมเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่ค่อนข้างกันดาร


          พืชในทะเลทรายมีการปรับตัวสองลักษณะ คือ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแห้งแล้งด้วยการเก็บน้ำไว้ในลำต้น หรือมีรากหยั่งลงลึกมากเพื่อหาน้ำใต้ดิน หรือลดรูปของใบให้มีขนาดเล็กลงและมีสารคล้ายขี้ผึ้งเคลือบผิวใบเพื่อลดการคายน้ำ การปรับตัวอีกลักษณะหนึ่งคือ การผลิตเมล็ดที่ทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี ต่อเมื่ออุณหภูมิและความชื้นเหมาะสมจึงจะงอก และเติบโตอย่างรวดเร็ว หลังจากสร้างเมล็ดแล้วก็จะตายไป ลักษณะพืชในทะเลทรายมักเป็นพืชต้นเตี้ยติดดิน หรือเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก
สัตว์ทะเลทรายมีสองประเภทคือ พวกที่อยู่ในสภาพไข่ ดักแด้ หรือรูปอื่นที่ทนต่อสภาวะแห้งเล้งได้ยาวนานนับเดือนนับปี จนกว่าจะมีน้ำเพียงพอจึงจะเจริญอย่างรวดเร็ว บางชนิดจะเริ่มออกหากินเมื่อฝนตกหลังจากที่จำศีล(Aestivation) เป็นระยะเวลายาวนานตลอดช่วงเวลาที่แล้งจัดอีกประเภทหนึ่งเป็นพวกที่มีกิจกรรมตลอดช่วงที่มีชีวิตอยู่ สัตว์พวกนี้มีความสามารถสูงในการปรับตัวทางสรีระ ทำให้มีชีวิตรอดอยู่ได้ในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงระหว่างกลางวันกับกลางคืน พื้นที่ทะเลทรายอาจเป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ในอนาคต ทะเลทรายมีแหล่งพลังงานแสงอาทิตย์อย่างสม่ำเสมอในปริมาณมาก เทคโนโลยีสมัยใหม่อาจช่วยให้มนุษย์นำพลังงานดังกล่าวจากทะเลทรายมาใช้ได้ แต่ต้องพิจารณาให้รอบคอบในแง่ของการลงทุน และผลตอบแทน


ที่มา:http://www.rmuti.ac.th/user/thanyaphak/Web%20EMR/Web%20IS%20Environment%20gr.2/T_4/4_1.HTM

พืชทะเลทรายมีชีวิตรอดในน้ำน้อยได้อย่างไร

พืชทะเลทรายชนิดยืนต้น มี 3 วิธีการที่จะอยู่รอดในสภาวะน้ำน้อย  พืชยืนต้นที่มีชีวิตนานกว่า 1 ฤดูกาลอาจมีวิธีอยู่รอดโดยใช้วิธีหนึ่งหรือหลายวิธี  ดังนี้  
                    วิธีการที่ 1 คือ การรับน้ำฝนอย่างรวดเร็วผ่านรากเล็ก ๆ จำนวนมาก
                    วิธีการที่ 2 คือ การเก็บกักน้ำไว้ในเนื้อเยื่อของมัน
                    วิธีการที่ 3 คือ การมีชีวิตอยู่โดยมีอัตราการคายน้ำต่ำ  ซึ่งก็คือกระบวนการที่พืชสูญเสียความชื้นโดยกระบวนการระเหยของน้ำผ่านปากใบ
                                       

        -  ต้นไม้พุ่มอะคาเซียและต้นเมสควิท  ใช้การแตกแขนงของรากฝอยลึกลงไปในดินทะเลทราย  
           เพื่อจับความชื้นตลอดปี  ต้น            
        -  ต้นกระบองเพชรและต้นไม้ชนิดที่มีลำต้นอวบอูมจะอุ้มน้ำไว้ในช่วงฤดูในและเก็บไว้
           ในเนื้อเยื่อของมัน

        -  ต้นกระบองเพชรซากัวโรยักษ์สามารถดูดซับน้ำถึง 1 เมตรตันได้อย่างรวดเร็วหลังฝนตก
                  ต้นกระบองเพชรมีอัตราการคายน้ำต่ำที่สุด  บางชนิดจะปิดปากใบในระหว่างวัน  เพื่อลดการสูญเสียความชื้น  ด้วยเหตุผลเดียวกัน  พืชชนิดอืนก็อาจมีใบหนา  มีขี้ผึ้งเคลือบใบ  หรือใบมีการปรับตัวลดรูปเป็นหนามทดแทน


                                                                    

                                                     

ที่มา:http://www.oknation.net/blog/Mukarioo/2013/09/06/entry-1

ความสามารถพิเศษของพืชทะเลทราย

ความสามารถพิเศษของพืชทะเลทราย
          พืชกับน้ำเป็นของคู่กัน ไม่มีพืชชนิดไหนอยู่รอดได้ถ้าขาดน้ำ เพราะฉะนั้นพืชจึงต้องดิ้นรนต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อให้มีน้ำเก็บสะสมอยู่มากพอกับความต้องการ โดยเฉพาะพืชในทะเลทรายนั้น จำเป็นต้องมีวิธีเก็บสะสมน้ำเป็นพิเศษเฉพาะตัว เพื่อดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้ท่ามกลางความร้อนและแห้งแล้งอย่างชนิดจะหาที่ใดมาเปรียบไม่ได้เลย
           พืชทะเลทรายเกือบทุกชนิดเก็บสะสมน้ำไว้ในลำต้นและใบ เพราะฉะนั้น พวกมันจึงต้องมีรูปร่างแปลกพิเศษไปจากต้นไม้ทั่วไป คือมีลำต้นและใบที่อวบใหญ่กว่ามาก เพื่อใช้เก็บสะสมน้ำไว้ให้ได้คราวละมาก ๆ หากเมื่อไรมีพายุฝนโปรยลงมา ต้นตะบองเพชรถังไม้ ( barrel cactus ) จะดูดน้ำเข้าไปเก็บไว้จนลำต้นมันขยายใหญ่ขึ้น ซึ่งวัดเส้นผ่านศูนย์กลางได้เป็นสองเท่าของขนาดเดิมเมื่อก่อนฝนตกทีเดียว
         และเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดการคายน้ำต้นตะบองเพชรหลายชนิดจึงปรับเปลี่ยนใบตัวเองให้เป็นหนาม ซึ่งนอกจากหลีกเลี่ยงการสูญเสียน้ำได้แล้วยังช่วยปกป้องตัวเองจากสิงสาราสัตว์ไม่ให้เยื้องกรายเข้ามาใกล้อีกด้วย
           แต่ก็มีพืชทะเลทรายอีกมากมายหลายชนิดเหมือนกันที่เก็บใบไว้ใช้สะสมน้ำ แต่ก็ยังเป็นใบที่มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากใบไม้ทั่วไปอยู่ดี อย่างเช่น ต้นโคมร้อยปี ( century plant ) :ซึ่งว่ากันว่าร้อยปีถึงจะออกดอกสักครั้งหนึ่ง มีใบสีชมพูเรื่อ ปลายใบแหลมคม รูปร่างและขนาดใบอวบหนาแข็งแรงมาก
          ส่วนพวกไม้พุ่มในทะเลทรายนั้น หลายชนิดใช้วิธีลดการสูญเสียน้ำด้วยการสลัดใบทิ้งในหน้าแล้งแต่พอฤดูฝนหวนกลับมาอีกครั้ง มันก็งอกใบใหม่ที่สดใสมีชีวิตชีวาขึ้นมาแทนที่ บางชนิดถึงกับสลัดทิ้งไปทั้งกิ่งเลยก็มี
         ระบบรากของพืชทะเลทรายก็มีส่วนสำคัญต่อการเก็บสะสมน้ำด้วยเหมือนกัน ต้นตะบองเพชรจะหยั่งรากลงดินเพียงตื้น ๆ แต่จะแผ่กิ่งก้านสาขากระจายออกเป็นบริเวณกว้างมาก ปลายรากของบางต้นอาจแผ่ไปไกลจากลำต้นถึง 50 ฟุต แต่ก็มีพืชทะเลทรายอีกบางชนิดที่ไชรากลงลึกมากเกินกว่า 100 ฟุตเพื่อหยั่งให้ถึงน้ำที่อยู่ใต้ผืนทรายลงไป
         ไม้พุ่มทะเลทรายอีกชนิดหนึ่งที่มีลักษณะพิเศษผิดแปลกไปจากพืชทะเลทรายอื่น ๆ มาก คือต้น ครีโอโสต ( creosote ) ใบของมันจะเหี่ยวแห้งคาต้นในช่วงฤดูแล้งน้ำ ดูเผิน ๆ เหมือนต้นไม้ที่ตายแล้ว แต่พอหน้าฝนมันก็ฟื้นคืนชีพกลับสดชื่นขึ้นมาใหม่อีก
        เจ้าต้นไม้ประหลาดต้นนี้ปกป้องพื้นที่แหล่งน้ำของมัน ไม่ให้เมล็ดพันธุ์ของต้นไม้อื่น หรือแม้กระทั่งเมล็ดพันธุ์ของตัวมันเอง หมดสิทธิงอกเงยขึ้นมาแย่งน้ำในพื้นที่รอบ ๆ ตัวมันได้

ที่มา:http://www.atom.rmutphysics.com/charud/scibook/nature%20myth/index149.htm

พืชทะเลทราย

พืชทะเลทราย 

พืชเขตร้อนหรือพืชทะเลทราย

            พืชกับน้ำเป็นของคู่กัน ไม่มีพืชชนิดไหนอยู่รอดได้ถ้าขาดน้ำ เพราะฉะนั้นพืชจึงต้องดิ้นรนต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อให้มีน้ำเก็บสะสมอยู่มากพอกับความต้องการ โดยเฉพาะพืชในทะเลทรายนั้น จำเป็นต้องมีวิธีเก็บสะสมน้ำเป็นพิเศษเฉพาะตัว เพื่อดำรงชีวิตให้อยู่รอดได้ท่ามกลางความร้อนและแห้งแล้ง พืชในทะเลทรายมีการปรับตัวสองลักษณะ คือ ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแห้งแล้งด้วยการเก็บน้ำไว้ในลำต้น หรือมีรากหยั่งลงลึกมากเพื่อหาน้ำใต้ดิน หรือลดรูปของใบให้มีขนาดเล็กลงและมีสารคล้ายขี้ผึ้งเคลือบผิวใบเพื่อลดการคายน้ำ การปรับตัวอีกลักษณะหนึ่งคือ การผลิตเมล็ดที่ทนทานต่อความแห้งแล้งได้ดี ต่อเมื่ออุณหภูมิและความชื้นเหมาะสมจึงจะงอก และเติบโตอย่างรวดเร็ว หลังจากสร้างเมล็ดแล้วก็จะตายไป ลักษณะพืชในทะเลทรายมักเป็นพืชต้นเตี้ยติดดิน หรือเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก พืชเหล่านี้สามารถดำรงชีวิตเติบโตในทะเลทราย อากาศแห้งแล้ง ไม่มีน้ำ มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงตัวเองให้สามารถต้านทานต่อช่วงอุณหภูมิที่สูงขึ้นด้วยการสะสมกักเก็บน้ำภายในทุกส่วน ต้องต่อสู้กับสภาพอากาศร้อนแห้งแล้ง ผิวต้นและใบมันคล้ายเคลือบด้วยขี้ผึ้ง บ้างปกคลุมด้วยขนหรือ หนามแหลมคมป้องกันอันตรายจากสัตว์ แมลง และป้องกันการระเหยของน้ำออกจากลำต้น รากดูดน้ำได้รวดเร็วก่อนน้ำจะซึมหายไปในดินทราย สำหรับพืชไม้อวบน้ำมีการแบ่งกลุ่มไม้อวบน้ำเป็น 4 ประเภท คือ

news_img_437933_4 (1)

        1) ใบอวบน้ำ (Leaf Succulent) ใบจะทำหน้าที่กักเก็บน้ำไว้ที่เซล ผิวมันป้องกันการคายน้ำ ลำต้นจะสั้น เช่น Aloe, Haworthia, Lithops, Sempervivum
        2) ลำต้นอวบน้ำ (Stem Succulent) ลำต้นอวบบรรจุน้ำไว้ในเซล ใบ
จะหดสั้นหรือไม่มีเพื่อลดพื้นที่ในการคายและการระเหยของน้ำ เช่น แคคตัส,Euphorbia obesa, Stapeli
        3) รากอวบน้ำ (Root Succulent) รากจะใหญ่กักเก็บน้ำอยู่ใต้พื้นดินเพื่อหลีกเลี่ยงความร้อนและสัตว์แทะกิน ในช่วงที่แห้งแล้งนานๆ ต้นและใบอาจจะสลัดหลุดร่วงไปเพื่อปรับสภาพเข้ากับสิ่งแวดล้อม เช่น Calibanus hookeri, Fockea edulis, Pterocactus kunzei,Peniocereus striatus           
        4) พืชที่ใช้ส่วนต่างๆของพืชสะสมน้ำ มากกว่าหนึ่ง (Combination of the above type) เช่น พืชจะเก็บน้ำ ไว้ที่ลำ ต้นและรากหรือใบ Ceraria pygmaea, Tylecodon paniculata, Cyphostemma juttae พืชในอาคารเรือนกระจกทะเลทรายที่สำคัญและให้ความสนใจมีมูลค่าหาดูยาก เช่น กระบองเพชรโกเด้นท์แบบเรล แบลคบอย โฮลด์แมน แมมแม่เฒ่า หมวกสังฆราช หมวกตุรกีเล็บเหยี่ยว นิ้วนางรำ จันทน์ผา อักกะเว่ แคคตัส และไม้อวบน้ำ

ที่มา

:https://jariya078.wordpress.com/category/%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2/

การปรับตัวเพื่อการอยู่รอด

พืชทะเลทราย...การปรับตัวเพื่อความอยู่รอด


เมื่อพูดถึงพืช เรามักจะนึกถึงต้นไม้ที่ลำต้นสูง ใบดกหนา แต่ถ้าในทะเลทราย ต้นไม้ที่เราจะคุ้นเคยกลับเป็นต้นพืชสีเขียว กลมๆ อวบอิ่ม มีหนาแหลม ทำไมพืชทะเลทรายจึงมีหน้าตาแปลกไปกว่าพืชอื่น น้องทราบหรือไม่


เมื่อพูดถึงพืช เรามักจะนึกถึงต้นไม้ที่ลำต้นสูง แข็งแรง ใบดกหนา แต่ในกรณีพืชทะเลทราย ต้นไม้ที่เราคุ้นเคยกลับกลายเป็นต้นพืชสีเขียว กลมๆ อวบอิ่ม มีหนามแหลมปกคลุมไปทั่ว คุณเคยคิดไหมว่า ทำไมพืชทะเลทรายจึงมีหน้าตาแปลกไปกว่าพืชอื่นๆ ที่เราคุ้นเคย

Agave victoria-reginae

Graptopetalum pentandrum
ทะเลทรายเป็นพื้นที่ที่มีสภาวะแวดล้อมที่โหดร้ายสำหรับพืชและสัตว์ที่อาศัย อยู่ เพราะ ในเวลากลางวันทะเลทรายร้อนและแห้งแล้งมาก แต่ในยามค่ำคืนอากาศที่เคยร้อนกลับเปลี่ยนเป็นหนาวเย็น พืชที่เจริญในทะเลทรายได้จึงต้องพยายามปรับตัวเองทั้งทางกายภาพและชีวภาพ เพื่อดำรงชีวิตอยู่ได้ท่ามกลางทะเลทรายร้อนระอุ อีกทั้งตัวพืชเองยังเป็นแหล่งน้ำชั้นดีที่สัตว์และแมลงต่างๆ คอยจ้องเข้ามากัดกินอีกด้วย
แคกตัส เมื่อมีอากาศหนาวเย็น ใบจะเปลี่ยนจากหนามเป็นขนหนานุ่มปกคลุม
พืชทะเลทรายมีมากมายหลายชนิด แต่ที่เราคุ้นเคยกันดีคือ "แคกตัส" ซึ่งเป็นพืชในตระกูล Cactaceae มีลักษณะเด่นแปลกจาพืชทั่วๆ ไปคือ มีความสามารถในการปรับเนื้อเยื่อภายในลำต้น ให้มีโครงสร้างคล้ายฟองน้ำ ทำให้ลำต้นมีลักษณะอ้วน อวบน้ำ และสามารถกักเก็บน้ำไว้ได้ในปริมาณมาก บางชนิดสร้างสารประเภทไขมันมาเคลือบที่ผิวของลำต้น เพื่อลดลดการคายน้ำ บางชนิดสร้างสารพิษมาเคลือบที่ผิวของลำต้น เพื่อป้องกันสัตว์เข้ามากัดกินลำต้นได้อีกด้วย แต่แคกตัสที่เจริญอยู่ในบริเวณที่มีอากาศหนาวเย็น แทนที่ใบจะเปลี่ยนเป็นหนามกลับเปลี่ยนเป็นขนหนานุ่มปกคลุมลำต้น เพื่อช่วยป้องกันความหนาวเย็น ระบบรากมีการปรับโครงสร้างให้มีขนาดใหญ่อยู่ลึกลงไปใต้ผิวดิน เพื่อหาอาหารได้ปริมาณมาก และรากฝอยเจริญอยู่บริเวณผิวดิน เพื่อทำหน้าที่ดูดน้ำที่อยู่บริเวณผิวดินได้

ที่มา:http://princess-it.org/sciencekids/index.php?option=com_content&view=article&id=62:2011-01-10-11-39-28&catid=47:-13-15-&Itemid=55